คราวที่แล้วพูดถึงข้อดีของการเป็นเด็กในการรำไท้เก็กว่าเด็กนั้น อ้วนกลม
แขนขายังไม่ค่อยมีแรง และการตอบสนองต่อวัตถุต่างๆเป็นแบบยอมรับ
และอ่อนตามกำลังของวัตถุนั้นๆ
ทำให้การฝึกไท้เก็กในเด็กมีข้อได้เปรียบกว่าการฝึกในผู้ใหญ่
มาในตอนนี้เราจะไปดูกันว่าเมื่อลูกน้อยฝึกไท้เก็กแล้วจะได้รับการพัฒนาอย่างไรบ้าง
ซึ่งในที่นี้จะพูดเน้นไปที่ทักษะทางด้านร่างกายเป็นหลัก
ในเด็กตั้งแต่แรกคลอด พัฒนาการทางร่างกายอาจหมายถึงการที่เด็กชันคอ
พลิกตัว นอนคว่ำ ยกอกกระดกก้น
นั่ง ลุก เกาะ คลาน คุกเข่า ยืดตัวยืนตรงไปจนถึงเดินได้เอง พอถัดมา
ยืนได้เดินได้อยากไปเร็วขึ้นก็เริ่มออกวิ่ง
เล่นสนุกด้วยการกระโดด
กระโดดสูงๆ กระโดดกระต่ายขาเดียว กระโดดสองขา
เดินหน้าถอยหลัง กระโดดยาง ด้านลำตัวช่วงบนก็เช่น ปาเป้า
โยนบอลรับบอล ตีเกราะเคาะไม้
เป็นต้น
เมื่อเราย้อนไปดูเส้นทางพลังของเด็กที่ใช้ไปกับกิจกรรมต่างๆ จะเห็นว่าจุดเริ่มต้นอยู่ตรงสะดือ
(ย้อนไปตอนอยู่ในครรภ์) เขาได้รับพลังงานมาจากสายสะดือจนเติบโตตัวใหญ่ขึ้นมา พอออกมาจากท้องแม่แล้ว ก็พยายามชันคอขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น พลังถูกส่งขึ้นไปเป็นเส้นตรง เมื่ออยากรู้มากเข้าก็ส่งแรงไปขยับคอบ่อยๆ
ทำให้เส้นทางของพลังแข็งแรงขึ้นจนพลิกตัวได้ นี่คือพลังสายแรกที่เด็กได้พัฒนาขึ้น เส้นทางพลังอีกสี่สายคือแขนสอง ขาสอง
ก็ถูกพัฒนาขึ้นจากความอยากรู้อยากเห็นของเด็กในลำดับถัดมา ตามความใกล้ไกลของเส้นทางพลัง และความละเอียดอ่อนของกิจกรรมที่ทำ
(กิจกรรมที่ใช้ fine motor คือส่วนของกล้ามเนื้อมัดเล็ก
เช่นนิ้วมือย่อมมีความละเอียดอ่อนมากกว่ากิจกรรมที่ใช้ gross motor หรือกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่นแขนขา)
จากการวิเคราะห์ข้างต้นทำให้เรารู้ว่า จุดกำเนิดของพลังนั้นอยู่ตรงไหน เส้นทางของพลังเป็นอย่างไร และกิจกรรมต่างๆ ของเด็กนั้นเกิดขึ้นจากอะไร ที่สำคัญคือสิ่งต่างๆ
เหล่านี้เป็นไปโดยธรรมชาติของเด็ก
คำถามต่อมาคือ แล้วรู้ไปทำไม
คำตอบก็คือ
รู้ไปเพื่อความเข้าใจในหลักการของไท้เก็ก
ไท้เก็กมักถูกโยงเข้ากับความเป็นธรรมชาติของสิ่งต่างๆ
ความเป็นธรรมชาติของเด็กเป็นสิ่งที่ค่อนข้างแปลก เพราะถ้าลองคิดดูดีๆ แล้ว สิ่งที่เด็กทำล้วนเกินกำลังของตัวเองทั้งสิ้น ตั้งแต่การพลิกตัว เขาเกิดมาไม่สามารถพลิกตัวได้ ไปจนการนั่ง
การยืน การเดิน และการวิ่ง
ถ้ามองตอนเด็กอายุ สามเดือนคงมองไม่ออกว่าจะวิ่งได้อย่างไร แต่ด้วยธรรมชาติของเขาทำให้พัฒนาจนทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้
พูดง่ายๆ คือ
ธรรมชาติของเด็กมักทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ (มองจากตอนอายุสามเดือน) ให้เป็นไปได้ (เมื่อเวลาผ่านไป) และถ้าความรู้นี้ติดตัวเด็กไปใช้ตอนที่เขาโตแล้ว
เขาจะรู้กระบวนการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้
“เราสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้” ด้วยความคิดนี้ เป็นประโยชน์กับเด็กอย่างมากในทุกๆ
ช่วงอายุที่เขาเติบโตขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น
เด็กวัยเรียนถ้าเพื่อนในห้องเรียนไม่เก่ง
เรียนไม่รู้เรื่องเหมือนกันความคิดนี้คงไม่ได้ใช้งานเท่าไรนัก แต่เราก็พบเด็กจำนวนไม่น้อย ที่คิดว่าเพื่อนเก่งกว่า เขาทำได้
เราทำไม่ได้
เราไม่เก่งเหมือนเพื่อน ความคิดที่กัดกร่อนเช่นนี้
ผู้ปกครองโดยมากไม่เห็น
ไม่ได้ให้ความสำคัญ
พอนานวันเข้าจึงส่งผลกระทบที่เป็นรูปธรรมออกมา เมื่อถึงวันนั้นปัญหาก็บานปลายซะแล้ว แต่ถ้าเด็กมีความคิดว่า
“เราสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้” แล้ว อีกทั้งยังรู้หลักการและกระบวนการในการทำ เด็กเริ่มทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เช่นคิดว่าเพื่อนเรียนเก่ง
แล้วเราจะเรียนสู้เพื่อนได้อย่างไร
ก็เปลี่ยนเป็นเพื่อนเรียนเก่ง
เราก็สามารถเรียนให้เก่งเหมือนกับเพื่อนได้เพราะเรารู้หลักการในการเรียนให้เก่ง อีกทั้งยังรู้กระบวนการการเรียนให้เก่ง โดยเทียบเคียงจากหลักการในไท้เก็ก เป็นต้น
ดังนั้น การเรียนไท้เก็กจึงได้ประโยชน์หลายอย่าง เพราะนอกจากประโยชน์ในเรื่องของทักษะทางร่างกายและสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์นั้น แนวคิดต่างๆ
ที่ได้จากการเรียนก็เป็นข้อดีอีกข้อเหมือนกัน
ครูฤทธิ์...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น